หมวดหมู่: สุขภาพ

สำหรับประเทศไทยแล้ว ตามข้อมูลในหนังสือนั้นจะมีทั้งหมด 3 ฤดูด้วยกัน  โดยมีการสนับสนุนจาก   ถ่านเครื่องช่วยฟัง     ซึ่งแบ่งออกเป็น ฤดูฝน ฤดูร้อน และฤดูหนาว  แต่ในความเป็นจริงแล้ว ประเทศไทยนั้นมีสภาพอากาศที่ค่อนข้างปรวนแปรเป็นอย่างมาก  ไม่ว่าจะฤดูร้อน หรือแม้แต่ฤดูหนาวก็ยังสามารถมีฝนตกได้ ในขณะเดียวกันในช่วงฤดูหนาวก็มีอากาศที่ร้อนอบอ้าวได้เช่นกัน

ซึ่งเราอาจจะกล่าวได้ว่าประเทศไทยนั้นมีสภาพอากาศที่ค่อนข้างปรวนแปรเป็นอย่างมาก ดังนั้นในบทความนี้เราจะมาแนะนำถึงวิธีในการดูแลตัวเองอย่างไรในช่วงที่ต้องเจอกับสภาพอากาศที่ค่อนข้างปรวนแปร

การดูแลตัวเองในช่วงอากาศแปรปรวนเพื่อป้องกันไม่ให้เจ็บป่วยสามารถทำได้ดังนี้

1. รักษาความอบอุ่นของร่างกาย

   – สวมเสื้อผ้าที่หนาและเหมาะสมกับสภาพอากาศ โดยเฉพาะเมื่อต้องออกไปข้างนอก

   – ถ้าหากอยู่ในสภาวะที่อากาศเย็นมากๆ ควรที่จะต้องหาผ้าพันคอ หมวก และถุงมือ มาใช้เพื่อป้องกันความหนาวเย็นเพื่อเป็นการสร้างให้ร่างกายนั้นอบอุ่น 

 

2. ดื่มน้ำให้เพียงพอ

   – ดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว หรือมากกว่านั้นหากออกกำลังกายหรือทำงานหนัก อย่าปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำหรือได้รับน้ำน้อย

   – หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนมากเกินไป เนื่องจากสามารถทำให้ร่างกายขาดน้ำ

 

3. ทานอาหารที่มีประโยชน์:

   – ทานอาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่น ผลไม้ส้ม ฝรั่ง และสตรอว์เบอร์รี เพื่อเป็นการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย 

   – ทานผักและผลไม้สดๆ เพื่อรับวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ 

 

4. นอนหลับให้เพียงพอ:

   – ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ซึ่งโดยปกติแล้วการนอนหลับที่เพียงพอนั้นจะต้องมีการนอนอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน เพื่อให้ร่างกายได้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหลอ

 

5. ออกกำลังกายเป็นประจำ

   – ออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน ไม่ว่าจะเป็นการเดิน วิ่ง หรือทำโยคะ หรือออกกำลังกายในรูปแบบอื่นๆที่เราชอบหรือถนัด เพราะการออกกำลังกายนั้นมันจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและทำให้ร่างกายแข็งแรง

 

6. รักษาความสะอาดส่วนบุคคล:

   – ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่และน้ำเปล่า โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหารและหลังจากใช้ห้องน้ำ

   – ปิดปากและจมูกเมื่อไอหรือจาม เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค

 

7. เลี่ยงการอยู่ในที่แออัด:

     – หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่มีคนเยอะ และสวมหน้ากากอนามัยเมื่อต้องอยู่ในสถานที่ที่มีความเสี่ยง

     

       8.ดูแลสุขภาพจิต:

        – ผ่อนคลายความเครียดด้วยการทำกิจกรรมที่ชอบ หรือฝึกการหายใจลึก ๆ และทำสมาธิหรือควรที่จะหาเวลาพูด คุยกับเพื่อนหรือครอบครัวเพื่อผ่อนคลายอารมณ์

        – การปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถดูแลตัวเองให้ปลอดภัยและสุขภาพดีในช่วงอากาศแปรปรวนได้ค่ะ

ผลดีจากขี้เลื่อย นำมาใช้ประโยชน์ในบ้าน แบบที่คิดไม่ถึง คุณอาจจำเป็นต้องสนเท่ห์ใจที่ ขี้เลื่อยนั้น เป็นประโยชน์มากมายมากยิ่งกว่าที่คุณคิด เพราะฉะนั้นข้างหลังเลื่อยไม้อย่าพึ่งโยนขี้เลื่อยทิ้ง มาดูกันว่าขี้เลื่อยมีคุณประโยชน์อย่างไรบ้าง

1. ใช้ชำระล้างคราบเปื้อนน้ำมัน คราบน้ำมันหกลงบนพื้นในดรงรถยนต์ ซึ่งชำระล้างได้ยาก การใช้ขี้เลื่อยเพื่อชำระล้างนั้นช่วยได้ดี และเป็นวิธีที่สามารถทำได้เองจริง ๆ โดยไม่ต้องจ้าง วิธีการทำเป็นให้โรยขี้เลื่อยลงบนพื้นที่มีรอยน้ำมัน แล้วทิ้งเอาไว้ครู่หนึ่งก่อนที่จะปัดกวาดเศษขี้เลื่อยพวกนั้นออก คราบเปื้อนพวกนั้นจะน้อยลง ทำอย่างงี้เป็นประจำจะช่วยทำให้รอยเปื้อนจางลงอย่างชัดเจน

 

2. ปกคลุมแทนต้นหญ้า แทนที่จะปกคลุมต้นไม้ด้วยต้นหญ้า ให้เลือกใช้ขี้เลื่อยแทนต้นหญ้าแห้ง ซึ่งถ้าเกิดใช้ต้นหญ้าจะมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นยิ่งกว่า ซึ่งขี้เลื่อยสามารถช่วยปกป้องวัชพืชได้อย่างดีเยี่ยม ถ้าตกลงใจใช้ขี้เลื่อยจะต้องมั่นใจว่าคุณได้เพิ่มไนโตรเจนลงไปในดินแล้ว ก่อนที่จะคุณจะปกคลุมต้นไม้ด้วยต้นหญ้า

 

3. ใช้ชำระล้างที่อยู่ของสัตว์เลี้ยง รอบ ๆ ที่สัตว์เลี้ยงของพวกเราอยู่อาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีความชุ่มชื้นมากมาย การใช้ขี้เลื่อยโรยไปในรอบๆพวกนั้นจะช่วยลดความชุ่มชื้น และก็ยังช่วยลดกลิ่นเหม็นต่าง ๆ จากที่อยู่สัตว์ แม้กระนั้นหากโรยด้วยขี้เลื่อยสดใหม่นั้นเหมาะสมมากสำหรับเหล่าหนูแฮมสเตอร์ และก็หนูตะเภา เนื่องจากพวกมันจะถูกใจใช้ขี้เลื่อยทำเป็นรัง

 

4. เป็นเชื้อไฟ ขี้เลื่อยเป็นเชื้อไฟที่ดี คุณสามารถโรยขี้เลื่อยไว้รอบๆฐานด้านล่าง แล้ววางก้านไม้ ขอนไม้ไว้ข้างบน เวลาก่อไฟจะก่อให้ไฟปะทุได้ดิบได้ดี ลดการใช้เชื้อเพลิงชนิดกระดาษต่างๆ

 

5. เหมาะสมมากสำหรับปลูกต้นไม้ เชื่อไหมว่าขี้เลื่อยนั้นมีคุณประโยชน์ด้านงานสวนมากมาย มันช่วยทำนุบำรุงดินได้อย่างดีเยี่ยม นอกจากนั้นขี้เลื่อยยังคงใช้สำหรับปลูกเห็ดซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นวัตถุดิบสำหรับการปลูกอยู่แล้ว คุณสามารถใช้ขี้เลื่อยผสมกับปุ๋ยธรรมชาติต่อจากนั้นเพาะเห็ดไว้

 

6. อุดโพรงไม้ ขี้เลื่อยก็คือมาจากไม้ดังนั้นการนำมาใช้ในการอุดโพรงที่เป็นไม้นั้น ทำให้นิยมมาก และทำได้ดี กระบวนการก็คือการใช้ขี้เลื่อยของไม้ประเภทเดียวกันกับไม้ที่อยากได้ปรับปรุงแก้ไขซ่อนแซมผสมกาวที่ใช้กับไม้ แล้วหลังจากนั้นก็นำไปอุดในร่อง หรือรูนั้น

 

7. ฆ่าวัชพืช ขี้เลื่อยจากไม้บางประเภทสามารถใช้กำจัดวัชพืชได้ เป็นสิ่งที่น่าทึ่งมาก ซึ่งอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน เพราะฉะนั้นคุณสามารถโรยขี้เลื่อยลงบนสวนของคุณ หรือรอบๆที่มีวัชพืชขึ้น ขี้เลื่อยจะช่วยในการกำจัดวัชพืชพวกนั้นออกไป

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย    ประสิทธิภาพการได้ยิน

เมื่อถึงช่วงหน้าฝนมาถึงผู้คนส่วนใหญ่มักมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของสุขภาพเป็นอย่างมาก  เนื่องจากว่าฝนนั้นเป็นตัวการหลักที่ทำให้คนเกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ไม่ว่าจะเป็นการตากฝนแล้วทำให้เกิดเป็นไข้หวัด  หรือแม้แต่ฝนตกแล้วน้ำท่วมขังในแอ่งก็อาจจะเป็นการเพาะพันธุ์ยุงลายและเมื่อเราถูกยุงลายกัดก็อาจจะทำให้เกิดเป็นโรคไข้เลือดออกและเสียงที่จะเสียชีวิตได้

ดังนั้นในบทความนี้เราจะมาแนะนำวิธีการกำจัดลูกน้ำและกำจัดยุงลายที่อาจจะเกิดภายในบริเวณบ้านของเราเพื่อป้องกันไม่ให้เรานั้นต้องเผชิญกับภาวะของการเป็นโรคไข้เลือดออก 

ซึ่งถือว่าเป็นโรคอันดับ ต้นๆที่ถ้าหากว่าใครติดแล้วมักจะรักษาไม่หายและเสียชีวิตและโรคชนิดนี้มักจะเกิดขึ้นในช่วงฤดูฝนและตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดโรคนี้ก็คือยุงลายนั่นเอง 

อย่างแรกเลยเราต้องดูเลยว่าบริเวณโดยรอบของตัวบ้านของเรานั้นมีแอ่งน้ำหรือมีบ่อน้ำอยู่หรือไม่ซึ่งโดยปกติแม้แต่เศษกระเบื้องแตกแล้วสามารถมีน้ำอยู่ในเศษกระเบื้องนั้นก็สามารถเป็นที่เพาะพันธุ์ของยุงลายได้เช่นเดียวกันดังนั้นเราควรจะกำจัดทุกอย่างที่สามารถทำให้น้ำท่วมขังได้ออกไปเพื่อป้องกันการเติบโตของลูกน้ำและยุงลาย   

อย่างไรก็ตามถ้าหากว่าบ้านไหนมีสระน้ำหรือทำเป็นบ่อน้ำเอาไว้ก็ควรจะต้องมีการใส่ทรายอะเบท  ซึ่งมันจะสามารถป้องกันไม่ให้ยุงลายไปไข่ในน้ำได้หรือเราจะใช้วิธีซื้อปลามาเลี้ยงในบ่อน้ำนั้นก็ได้เช่นเดียวกัน  

สำหรับบ้านใครที่มีบริเวณบ้านคุณสามารถที่จะหาซื้อต้นไม้มาประดับบ้านโดยเริ่มต้นไม้ที่สามารถที่จะมีคุณสมบัติในการไล่ยุงได้มาประดับไว้ตามบริเวณโดยรอบของตัวบ้านยกตัวอย่างเช่นต้นลาเวนเดอร์หรือแม้แต่ต้นโรสแมรี่เป็นต้นซึ่งต้นไม้เหล่านี้ยุงจะไม่ค่อยชอบถ้าหากมีกลิ่นของดอกไม้เหล่านี้ขึ้นยุงก็จะไม่มาเข้าใกล้

นอกจากนี้ต้นไม้บริเวณโดยรอบของบ้านก็ไม่ควรที่จะปล่อยให้รก ควรที่จะต้องมีการตัดกิ่งตกแต่ง ต้นไม้ให้โปร่งโล่งสะอาดตาเพราะถ้าหากต้นไม้ล้มทึบนั้นก็จะเป็นที่อยู่ของยุงรายได้เช่นเดียวกัน 

และที่สำคัญอย่าปล่อยให้บริเวณบ้านของเรานั้นมีความชื้นและมืดทึบมากจนเกินไปควรที่จะทำบ้านให้โล่งและมีลมโกรกเพื่อที่จะให้อากาศนั้นสามารถถ่ายเทได้สะดวก

อย่างไรก็ตามในตัวบ้านก็มีความสำคัญเป็นอย่างมากเช่นเดียวกันซึ่งในตัวบ้านของเราก็ไม่ควรที่จะปิดประตูหน้าต่างให้มีความมืดเพราะยุงจะชอบอยู่ในความมืดดังนั้นเราควรที่จะสร้างบ้านโดยมีการติดมุ้งลวดเพื่อที่เราจะได้สามารถเปิดประตูหน้าต่างให้มีแสงสว่างส่องเข้ามาได้และยังสามารถช่วยป้องกันไม่ให้ยุงบินเข้ามาภายในบ้านของเราได้อีกด้วย

 

ได้รับการสนับสนุนโดย    เพิ่มคุณภาพชีวิตและการได้ยินที่ดีขึ้น

โรคหนองใน (Gonorrhea) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย *Neisseria gonorrhoeae* ซึ่ง  เครื่องช่วยฟังราคาเท่าไหร่       สามารถติดเชื้อได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง แม้ว่าผู้หญิงส่วนใหญ่จะไม่แสดงอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อย แต่โรคนี้ถือเป็นภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากสามารถนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงต่อสุขภาพระบบสืบพันธุ์ได้

อาการของโรคหนองในในผู้หญิง อาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ติดเชื้อและสุขภาพทั่วไปของผู้ป่วย

ในบางรายอาจมีอาการตกขาวผิดปกติ มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ หรือสีเปลี่ยนไป เจ็บหรือแสบร้อนเวลาปัสสาวะ เจ็บระหว่างมีเพศสัมพันธ์ หรือมีเลือดออกระหว่างรอบเดือน อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่ติดเชื้อหนองในมักจะไม่มีอาการชัดเจน ทำให้มักถูกละเลยและไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

 

การไม่แสดงอาการนี้เป็นปัจจัยที่ทำให้โรคหนองในเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะเชื้อสามารถลุกลามไปยังอวัยวะอื่น ๆ ในระบบสืบพันธุ์ เช่น มดลูกและท่อนำไข่ ส่งผลให้เกิดภาวะอักเสบในอุ้งเชิงกราน (Pelvic Inflammatory Disease, PID) ซึ่งเป็นภาวะที่สามารถทำให้เกิดปัญหาการมีบุตรในอนาคต เช่น การตั้งครรภ์นอกมดลูกหรือการมีบุตรยากได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจทำให้เกิดการติดเชื้อที่รุนแรงขึ้นและแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นของร่างกาย เช่น ข้อต่อ หัวใจ หรือสมอง

 

การวินิจฉัยโรคหนองใน ทำได้โดยการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น การเพาะเชื้อจากสารคัดหลั่งที่ช่องคลอดหรือปากมดลูก หรือการตรวจปัสสาวะ ในปัจจุบันมีการพัฒนาการตรวจที่รวดเร็วและมีความแม่นยำสูงมากขึ้น ทำให้การตรวจโรคนี้เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ง่ายและรวดเร็ว

การรักษา   โรคหนองในสามารถรักษาได้ด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะที่มีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม การดื้อยาของเชื้อหนองในบางสายพันธุ์ทำให้การรักษาต้องใช้ยาหลายชนิดร่วมกัน และจำเป็นต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดเพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด หลังการรักษา ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะได้รับการยืนยันจากแพทย์ว่าเชื้อได้ถูกกำจัดออกจากร่างกายแล้ว

 

การป้องกัน    โรคหนองในสามารถทำได้โดยการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ปาก หรือทวารหนัก นอกจากนี้ ควรตรวจสุขภาพเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้ที่มีคู่นอนหลายคนหรือคู่นอนที่ไม่แน่ใจในประวัติสุขภาพ เพราะการตรวจพบและรักษาโรคตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนและการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ความสำคัญของการตระหนักรู้ในโรคหนองในสำหรับผู้หญิง   คือการป้องกันและลดความเสี่ยงต่อสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นจากโรคนี้ ผู้หญิงไม่ควรมองข้ามการตรวจสุขภาพประจำปี และควรใส่ใจต่อสัญญาณที่อาจบ่งบอกถึงการติดเชื้อ เพื่อป้องกันไม่ให้โรคหนองในกลายเป็นปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงในอนาคต

ปัญหาส่วนใหญ่ที่คนเรามักจะพบเกี่ยวกับริมฝีปากก็คือปัญหาริมฝีปากแห้งกร้านและมีสีหมองคล้ำบางคนอาจจะเป็นสีดำคล้ำเลยทีเดียวซึ่งปัญหาต่างๆเหล่านี้นั้นสามารถแก้ได้ไม่ยากมาดูกันว่าการดูแลริมฝีปากของเราให้มีสุขภาพดีและไม่มีปัญหาริมฝีปากดำนั้นทำอย่างไรได้บ้าง 

ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นจากริมฝีปากของเราไม่ว่าจะเป็นริมฝีปากเป็นขุยหรือว่าแห้งก้านหรือเป็นสีดำคล้ำนั้นมักเกิดจากพฤติกรรมของเจ้าของริมฝีปากนั้นเอง

ซึ่งถ้าหากว่าเรามีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเราแล้วปัญหาดังกล่าวก็จะหมดสิ้นไปได้เช่นเดียวกันยกตัวอย่างเช่นบางคนมีพฤติกรรมชอบเลียริมฝีปากเพราะรู้สึกว่าริมฝีปากของตนเองนั้นแห้งแทนที่เราจะเรียนริมฝีปากของเราเราก็เปลี่ยนวิธีการใหม่ซะด้วยการหาลิปสติกซึ่งเป็นลิปมันมาทาก็จะช่วยลดปัญหาริมฝีปากแห้งและยังไม่ทำให้ริมฝีปากของเราเป็นสีดำคล้ำด้วย

นอกจากพฤติกรรมการเรียนริมฝีปากแล้วยังมีพฤติกรรมการชอบกินผลไม้ลดเปรี้ยวซึ่งผลไม้รสเปรี้ยวนั้นจะมีกรดและมียางทำให้อาจจะมีการเกิดความระคายเคืองตอนที่เรารับประทานเข้าไปทำให้ริมฝีปากของเรานั้นเปลี่ยนจากสีขาวอมชมพูไปเป็นสีคล้ำได้

เพราะเซลล์เม็ดสีนั้นถูกทำลายดังนั้นหากเราสามารถลดการกินผลไม้เปรี้ยวได้และหันมาเลือกผลไม้ที่บำรุงผิวพรรณแทนก็จะช่วยให้ริมฝีปากของเรานั้นมีสีที่สวยงามหรือถ้าหากใครที่ชื่นชอบการกินผลไม้รสเปรี้ยวและไม่สามารถที่จะลดได้หลังจากที่เรากินผลไม้เสร็จเรียบร้อยแล้วก็ควรจะมีการล้างทำความสะอาดริมฝีปากทันทีหากทำเช่นนี้ก็จะแก้ปัญหาได้เช่นเดียวกั 

สำหรับอีกหนึ่งพฤติกรรมที่ควรที่จะต้องเลิกหากเราต้องการให้ริมฝีปากของเรามีสีสวยและมีสุขภาพดีนั่นก็คือการเลือกใช้ลิปสติกที่ด้อยคุณภาพ

หรือราคาถูกมากจนเกินไปเพราะจะเห็นได้ว่าในปัจจุบันนี้ร้านค้าออนไลน์เยอะแยะมากมายที่มีการขายลิปสติกที่ไม่ค่อยได้มาตรฐานหรือไม่ได้คุณภาพเนื่องจากว่าราคาค่อนข้างถูกและยังมีคุณสมบัติที่ดีเลิศเช่นติดทนนานซึ่งการที่เราใช้ลิปสติกที่ไม่มีคุณภาพนั้นก็จะทำให้ริมฝีปากของเราสัมผัสกับของที่ไม่มีคุณภาพและยังส่งผลทำให้ผิวบริเวณริมฝีปากแพ้ง่ายและอาจจะทำให้เกิดสีดำคล้ำได้ด้วย 

อย่างไรก็ตามเมื่อเรามีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเกี่ยวกับเรื่องของการดูแลริมฝีปากแล้วเราก็ควรจะต้องมีการใส่ใจกับริมฝีปากของเราให้มากขึ้นนั่นก็คือหลังจากที่เรามีการแปรงฟันในแต่ละวันแล้วอย่าลืมนำแปรงสีฟันนั้นมาขัดเบาๆตรงบริเวณริมฝีปากของเราเพราะมันสามารถขจัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายไปแล้วเพื่อให้เซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทนที่ได้

และหลังจากที่เราทำความสะอาดริมฝีปากเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็อย่าลืมทาลิปมันทุกครั้งเพื่อให้ริมฝีปากของเรานั้นเกิดความชุ่มชื่นและในแต่ละอาทิตย์นั้นก็ควรจะมีการสครับริมฝีปากของเราเพื่อเป็นการผลักเซลล์ผิวเช่นเดียวกัน

 

ได้รับการสนับสนุนโดย    คาสิโน เวียดนาม ดานัง

โรคลมหลับ (Narcolepsy) เป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทที่ส่งผลต่อการควบคุมการนอนหลับและการตื่น ทำให้ผู้ป่วยมีอาการง่วงนอนอย่างมากในเวลากลางวัน รวมถึงอาการที่เกิดขึ้นโดยไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้บางครั้งผู้ป่วยอาจจะหลับไปโดยไม่รู้ตัวในสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสม เช่น ขณะทำงาน ขับรถ หรือแม้กระทั่งขณะพูดคุยกับผู้อื่น โรคนี้พบได้ไม่บ่อยนัก แต่มีผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย

อาการของโรคลมหลับสามารถแสดงออกมาในหลายรูปแบบ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นอาการหลักๆ ดังนี้:

1. ง่วงนอนอย่างรุนแรงในเวลากลางวัน อาการนี้เป็นอาการหลักของโรคลมหลับ ผู้ป่วยจะรู้สึกง่วงนอนอย่างมากในเวลากลางวัน ถึงแม้ว่าจะได้นอนอย่างเพียงพอในคืนก่อนหน้านั้น บางครั้งอาจหลับไปอย่างไม่ตั้งใจหรือหลับสนิททันทีโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า
2. อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงทันที   อาการนี้มักจะเกิดขึ้นเมื่อผู้ป่วยรู้สึกตื่นเต้นหรือตอบสนองทางอารมณ์ เช่น หัวเราะ ร้องไห้ หรือโกรธ ผู้ป่วยอาจมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงชั่วขณะ อาจจะรู้สึกว่าขาอ่อนแรงจนยืนไม่ไหวหรือพูดไม่ได้ แต่ผู้ป่วยยังคงมีสติสัมปชัญญะอยู่
3. อาการหลับฝันและหลับไม่สนิท  ผู้ป่วยโรคลมหลับอาจมีปัญหานอนหลับไม่สนิทในช่วงกลางคืน มักตื่นขึ้นหลายครั้งหรือฝันแปลกๆ
4. อาการหลับตื่นไม่สมบูรณ์   ผู้ป่วยอาจรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถขยับร่างกายหรือพูดได้ขณะกำลังจะตื่นหรือหลับ ความรู้สึกนี้มักเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วินาทีถึงนาที
5. ประสบการณ์ที่ไม่สมจริง   ผู้ป่วยอาจมีภาพหลอนหรือประสบการณ์ที่ไม่สมจริงขณะกำลังจะหลับหรือตื่น โดยที่ภาพหลอนนี้อาจเป็นทั้งทางการมองเห็น ได้ยิน หรือสัมผัส

 

การสังเกตอาการของโรคลมหลับสามารถทำได้โดยการเฝ้าระวังพฤติกรรมที่ผิดปกติของการนอนหลับและการตื่น หากมีอาการง่วงนอนมากผิดปกติในเวลากลางวัน หลับไปโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงเมื่อมีอารมณ์เปลี่ยนแปลง อาจจะเป็นสัญญาณเตือนให้ต้องพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยเพิ่มเติม

โรคลมหลับถือเป็นโรคที่มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก แม้จะไม่ใช่โรคที่รุนแรงถึงชีวิต แต่ผู้ป่วยจะมีความเสี่ยงในการประสบอุบัติเหตุหรือเกิดอันตรายหากมีอาการเกิดขึ้นขณะทำกิจกรรมที่ต้องการความระมัดระวัง เช่น ขับรถหรือใช้เครื่องจักร นอกจากนี้ยังส่งผลต่อการทำงาน ความสัมพันธ์ และกิจวัตรประจำวัน

 

แม้ว่าโรคลมหลับจะไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่สามารถควบคุมอาการได้ด้วยวิธีต่างๆ ได้แก่:

1. การใช้ยา: แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาที่ช่วยกระตุ้นการตื่นตัวในเวลากลางวัน หรือยาที่ช่วยลดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง ยานอนหลับอาจจะถูกใช้เพื่อช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้นในเวลากลางคืน
2. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม: การจัดการเวลานอนให้เป็นระเบียบ การพักผ่อนในช่วงสั้นๆ ระหว่างวัน และการหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการ เช่น ความเครียดและการขับรถเป็นเวลานาน
3. การบำบัดทางจิต: การทำจิตบำบัดหรือการเข้ากลุ่มสนับสนุนอาจช่วยให้ผู้ป่วยสามารถรับมือกับผลกระทบทางจิตใจที่เกิดจากโรคนี้
4. การติดตามและปรับปรุงการรักษา:ผู้ป่วยควรพบแพทย์เป็นประจำเพื่อปรับปรุงและติดตามอาการ รวมถึงการปรับยาหรือการรักษาให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายและอาการที่เปลี่ยนแปลง

โรคลมหลับแม้จะเป็นโรคที่มีผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน แต่หากได้รับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย    เครื่องช่วยฟัง มีไว้ทำอะไร

เครื่องใช้ไฟฟ้า มีอะไรช่วยทำให้เซฟเงินในกระเป๋าได้บ้าง สุดสัปดาห์ก่อนหน้านี้มีแฮชแท็กใหม่ที่กระเทือนคนทั่วประเทศ คือ ค่าไฟฟ้าแพง เพราะเหตุว่าในเดี๋ยวนี้คนจำเป็นต้องดำเนินชีวิตอยู่บ้านเป็นส่วนมาก การทำงาน Work from Home รวมทั้งอากาศที่ร้อนกระทั่งไฟธาตุแตก ทำให้ค่าไฟฟ้าท้องกระฉูดหยุดไม่อยู่ หลายบ้านค่าไฟฟ้ามากขึ้นมาเป็นเท่าตัว

 

ดังนี้ ด้วยเหตุว่าการคิดค่าไฟฟ้า คิดแบบอัตราเจริญรุ่งเรือง ซึ่งก็กล่าวได้ว่าถ้าเกิดหน่วยการใช้กระแสไฟฟ้าสูงมากขึ้น ก็จำต้องจ่ายค่าไฟฟ้าสูงมากขึ้นด้วย รวมทั้งบ้านที่กำลังปวดหัวกับค่าไฟฟ้าส่วนใหญ่จะมีเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ที่มีหน่วยการใช้ไฟที่สูงกลุ่มนี้

 

– เครื่องฟอกอากาศ แปลงเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ต้องมีเหมือนกัน เพราะว่าตอนนี้มีปัญหาเรื่องฝุ่น ทำให้อากาศเป็นมลภาวะ หลายบ้านมีเด็ก คนวัยชรา หรือคนที่มีปัญหาประเด็นการหายใจ ก็เลยเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์จำเป็นจะต้องมี แม้กระนั้นทราบหรือเปล่าว่าเครื่องฟอกอากาศเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ที่รับประทานไฟมากมายเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะหากเปิดกับเครื่องปรับอากาศด้วยแล้วยิ่งสิ้นเปลืองไฟ

 

การใช้งานเครื่องขัดอากาศให้ลดการใช้ไฟฟ้า ก็เลยจำต้องหมั่นชำระล้างแผ่นกรองอยุ่เสมอ รวมทั้งการเปิดปิดประตูบ้านก็ควรจะปิดประตูให้สนิท เพื่อลดจำนวนฝุ่นผงที่จะเข้ามาในบ้าน ไม่ให้เครื่องฟอกอากาศทำงานมากเหลือเกิน

 

– พัดลมไอน้ำ ที่จะคอยพ่นหมอกละอองน้ำออกมาขณะทำงาน และก็มีรางพ่นละอองน้ำ ก็เลยจะต้องใช้กำลังไฟฟ้าปริมาณหนึ่งเพื่อพ่นละอองน้ำออกมา ซึ่งธรรมดาแล้วพัดลมละอองน้ำจะเหมาะกับการใช้พื้นที่โล่งแจ้งมากยิ่งกว่า เพราะว่ามีอากาศเวียนตลอดระยะเวลา

การใช้พัดลมละอองน้ำให้ใช้ไฟฟ้าน้อยลง จำต้องหมั่นชำระล้าง และก็เอาไปใช้งานให้เหมาะสมกับพื้นที่รวมทั้งรูปแบบการนำไปใช้งาน เพื่อไม่ให้เครื่องใช้ไม้สอยจะต้องทำงานมาก ถ้าหากแปลงมาใช้พัดลมไอเย็นบางทีอาจจะตอบปัญหามากยิ่งกว่า เพราะว่ามิได้ปลดปล่อยละอองน้ำหรือละอองน้ำออกมา ก็เลยไม่กำเนิดความอับเปียกชื้น และก็รับประทานไฟน้อยกว่า

 

– ตู้แช่เย็น ตู้แช่เย็นเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่จำเป็นต้องทิ่มปลั๊กไฟฟ้าไว้ตลอดระยะเวลา รวมทั้งคอมเพรสเซอร์สถานที่สำหรับทำงานตลอดระยะเวลาก็เป็นตัวรับประทานไฟเกรดเอ ยิ่งมีของในตู้แช่เย็นเยอะแค่ไหนก็ยิ่งรับประทานไฟแค่นั้น หรือการนำของอุณหภูมิสูงเข้าตู้แช่เย็นก็รับประทานไฟเหมือนกัน เนื่องจากว่าตู้แช่เย็นจะต้องทำงานมากสำหรับการปรับอุณหภูมิให้เย็นลง

 

แนวทางใช้ไฟฟ้าน้อยลงตู้แช่เย็นหมายถึงอย่าใส่ของกระทั่งอัดแน่นเต็มตู้แช่เย็น ควรจะแช่เครื่องดื่ม ไม่เกิน 5 ขวด ตั้งอุณหภูมิให้สมควร ช่องปกติอยู่ที่ 3 ถึง 6 องศาเซลเซียส ส่วนช่องสำหรับแช่แข็งให้อยู่ที่ -18 ถึง -15 องศาเซลเซียส ตั้งตู้แช่เย็นให้ห่างจากฝาผนังขั้นต่ำ 15 ซม. เพื่อระบายความร้อนก้าวหน้า และก็ควรจะพิจารณาภาวะยางที่ขอบประตูตู้แช่เย็นเพราะปิดสนิทดีไหม ถ้าหากตู้แช่เย็นปิดไม่สนิทจะมีผลให้คอมเพรสเซอร์ทำงานมากขึ้น เพราะว่าทำความเย็นไม่ได้ตามปกติที่ประตูปิดสนิท จึงทำให้ใช้ไฟมาก

 

สนับสนุนโดย    เวียดนามมีคาสิโนไหม